29.5.54

แม่มดน้อยหมวกดำ(แฝดคนละฝากับหนูน้อยหมวกแดง)

www.siamhat.com ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับหมวกเราสรรหามาฝาก

แม่มดน้อยหมวกดำ


ณ กลางป่าใหญ่แห่งหนึ่ง  ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของ " พ่อมดเฟร์ส " ผู้ปกปักรักษาป่าเอซแห่งนี้ด้วยความเที่ยงตรง
เขาอาศัยอยู่กับภรรยาของเขาซึ่งเป็นแม่มดที่มีนามว่า " เอริช " พร้อมกับลูกสาว(ตัวแสบ)ของเขาที่มีชื่อว่า " ดอริซ "
    
     ดอริซเป็นแม่มดน้อยที่มีนิสัยซุกซนมาก(อันที่จริงก็คือแย่มากเลยทีเดียวเชียว)  เธอชอบหยอกเย้า(แกล้งคน)ผู้อื่นแทบทุกเวลา
และด้วยเหตุนี้(จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อยากจะเรียกชื่อเธอ)ทุกคนจึงเรียกว่า  " แม่มดน้อยตัวแสบ " แต่ต่อมาเธอก็ใส่เสื้อคลุมที่มีหมวกติดมาด้วยซึ่งเป็นสีดำ  ทุกคนจึงเรียกเธอว่า  " แม่มดน้อยหมวกดำ " 
    
     นานวันเข้าแม่มดน้อยหมวกดำก็ยิ่งแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นในการใช้เวทมนต์คาถา(แกล้งคน)  เธอมักจะพอใจเป็นอย่างมากเมื่อเธอหยอกเย้า(แกล้งคนด้วยความสะใจ)เป็นอย่างมากเพราะเธอคิดว่ามันทำให้ทุกคนยิ้มได้(บ้านหล่อนนะซิ)  แม่มดน้อยหมวกดำเป็นคนที่พูดไม่ค่อยจะไพเราะซักเท่าไรนัก(พูดง่ายๆว่าหยาบคายมาก)  วันนี้เป็นวันที่เธอจะต้องไปทำภารกิจบางอย่างเล็กน้อย  (ดูไปก็แล้วกันว่าเจ้าหล่อนจะยอมไหม?)
    
     " เอาละเจ้าหนูน้อย " เธอพูดขณะที่กำลังสาปหนูตัวหนึ่งให้ลอยขึ้นในอากาศ  มันร้องครวญครางด้วยความหวาดกลัว(ประมาณว่าคราวนี้จะทำอะไรกับฉันอีกละเนี้ย)  " คราวนี้ฉันจะเสกให้นายเป็นอย่างไงดีนะ.....อืม........เอานายไปแขวนไว้ตรงลูกตุ้มของนาฬิกาของฉันก็แล้วกัน
นายอาจสนุกก็ได้นะ" เธอพูด ยิ้มกริ่มๆ  เธอดีดนิ้วแล้วก็ชี้ไปที่หนู(ผู้เคราะห์ร้าย)นั้นไปแขวนไว้ตรงลูกตุ้มนาฬิกาโดยทันที
หนูตัวนั้นมีอาการทุรนทุรายเป็นอย่างมาก(ทรมานนั้นแหละ)  " ดอริซเลิกแกล้งหนูนั้นได้แล้วลูก   มาหาแม่หน่อยซิ  "  แม่ของเธอตะโกนเรียกลูกสาว(คนดีของเธอ)  " เดี๋ยวซิแม่.....ข้ากำลังเล่นกับหนูตัวนี้อยู่ถ้าทางมันกำลังสนุก (สนุกตายละ) " เธอตะโกนตอบกลับแม่ของเธอไปอย่างไร้หางเสียง  แม่ของเธอเดินมา  " หยุดเล่นได้แล้วดอริซ " ว่าแล้วแม่ของเธอก็ดีดนิ้วแล้วจึงชี้ไปที่หนูตัวนั้น  ทันใดนั้นมันก็ได้รับอิสรภาพกลับคืนมา  มันส่งเสียงจี๊ดๆ(ประมาณว่า ชาติหน้าฉันใดอย่าให้ได้เจอะได้เจอกับเด็กหน้ากลัวแบบนี้เลย)แล้วก็วิ่งหนีไปเลย
"ว้า......แม่เนี้ยชอบกวนใจข้าจัง.....คราวนี้อะไรอีกละ?" เธอถาม(พลางแคะขี้มูกไป)  " เอายานี้ไปให้ยายของลูกหน่อยซิ "
แม่ของเธอพูดพลางถอนหายใจแล้วจึงหยิบขวดอะไรบางอย่างออกมา  มันเป็นขวดที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือเลยทีเดียว
" แล้วทำไมข้าจะต้องไปด้วยเล่า?  ส่งพัสดุไปก็ได้นี่  (งงจริงๆแฮะ) " " ไปเถอะนา.......ดอริซไม่อย่างนั้น..... "
" ไม่อย่างนั้นจะทำไมกันเล่า? "  เธอพูดด้วยความรำคาญพลางเท้าสะเอวไป(กระแดะจริง.......)  " อย่างนั้นก็จะเป็นอย่างนี้ไง......"
                     
                                      ว๊าป  !!!!!!..............


"อะไรกันเนี้ย? ถ้าย้ายตัวเรามาได้ไกลขนาดนี้ทำไมไม่ย้ายเจ้าขวดบ้าๆนี้ไปด้วยละ?.....เฮอ.......สรุปว่าข้าต้องเดินทางเป็นโยชน์เพื่อเดินทางไปที่บ้านยายแกนั้นเนี้ยนะ(ช่างน่ารักอะไรอย่างนี้......)   "  เธอบ่นไปพลางเดินทางไปเรื่อยพลางร้องเพลงของวง " Linkinpark " ไป
    
     ในขณะเดียวกันซึ่งไม่ห่างไปจากที่นี่มากนัก  มีหมาป่าตัวหนึ่งกำลังหิวโซเป็นอย่างมาก  " ถ้ามีเด็กผ่านมาแถวนี้ซักคนก็คงดีซิฟะ "
มันพูด  เดินไปเดินมาแล้วก็ดันไปได้ยินเสียงเพลงอันหนวกหูเข้าอย่างจัง  " โอ๊ยไม่มีอะไรจะทำรึไงกันฟะ  ร้องเพลงบ้าอะไรก็ไม่รู้หนวกหู
ฉะมัดเลยแฮะ  ไหนดูซิว่าหน้าไหนมันมาร้องเพลงบ้าๆแบบนี้ฟะ " มันชะเง้อหน้าของมันไปดู  " โอ๊วอะไรจะโชคดีปานนี้.....(โชคร้ายนะสิไม่ว่า)"   เป็นแม่มดน้อยหมวกดำนั้นเอง  
    
     เธอเองตอนนี้ก็กำลังมองหา(เหยื่อ)คนที่จะมาให้เธอแกล้งเล่น  "ว่าไงจ๊ะหนูน้อยจะไปที่ไหนรึ?" เจ้าหมาป่าเดินเข้าไปถาม(ตามบทต้นฉบับ)  " ไปที่ไหนมันก็เรื่องของข้านี่  เจ้าไม่เกี่ยว......อย่ายุ่งเรื่องของฉันให้มากนักเลยนา......" เธอพูดยิ้มกริ่มๆ  มีแผนอยู่ในใจ
" โธ่เจ้าหนูน้อยพูดจาไม่ดีเลยนา......" มันพูดน้ำลายเริ่มไหล อยากที่จะกินเจ้าหล่อนเต็มที  " เ สื อ ก ไม่เข้าเรื่อง" เธอพูดพลางเชิดหน้า
" จะตายอยู่แล้วยังจะมาพูดมากอีกเพราะฉะนั้นตายซะเถอะ "  มันพูดพร้อมกับพยายามจะตะครุบเธอ  แต่ก็นั้นแหละคงจะเป็นผลมาจากการที่เธอดูหนังเรื่อง เดอะเเมทริกมากเกินไป   เธอหลบการโจมตีของเจ้าหมาป่านั้นเพียงแค่วิเดียวเท่านั้น  เจ้าหมาป่าล้มคะมำทันที

                                                ปั้ก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!.............


     มันล้มลงไปด้วยความเจ็บปวดจนชา  "โอ๊ย.........."  มันร้อง  แม่มดน้อยหมวกดำเดินเข้ามาพลางแสยะยิ้ม  " เอาล่ะจะสั่งเสียอะไรก่อนที่นายจะไปโผล่อยู่ที่อื่น  ฮึ........" เธอถามพลางตั้งมือพร้อมที่จะร่ายคาถาได้ทุกเมื่อ  " เจ้าเป็นใครกันแน่?......."  มันถามอย่างลุกลี้ลุกลน
" ข้านะเหรอคือใคร?...........เป็นคำถามที่ดีนะ  ข้าชื่อดอริซ  แม่มดน้อยหมวกดำ  บุตรีของท่านพ่อมดเฟร์ส ยังไงกันเล่า........"
ว่าแล้วเธอก็ดีดนิ้วแล้วก็ชี้ไปที่เจ้าหมาป่าผู้เคราะห์ร้ายนั้นแล้วมันก็ลอยขึ้นฟ้าราวกับจรวดและหายไปเลย
    
      ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชื่อเสียงของหนูน้อยหมวกดำก็ดังกระช่อนไปทั่ว  จึงมีคนหลายคนพยายามที่จะแย่งชิงตำแหน่งไปจากเธออยู่ ทุกวี่ทุกวัน

                                         แล้วคุณละ?   กล้าไปต่อกรกับเธอไหม?

ที่มา : http://writer.dek-d.com/
ถ้าชอบหมวกสานก็ www.siamhat.com

หมวกคาวบอยประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช

http://www.siamhat.com/ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับหมวกเราสรรหามาฝาก
หมวกคาวบอยประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช


เรื่องราวของ หมวกคาวบอยของประธานาธิบดี ยอร์จ ดับเบิลยู บุช (George W. Bush) เป็นอะไรที่ภาคภูมิใจของคาวบอยอเมริกัน รวมทั้งช่างทำหมวกและคนใส่หมวกคาวบอยเป็นอย่างยิ่ง  สมาชิกคาวบอยทั้งหลายก็ควรจะภูมิใจ ที่มีเพื่อนรสนิยมเดียวกันเป็นถึงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
เราคงทราบกันมาบ้างแล้วว่า ประธานาธิบดีท่านนี้  ในแง่มุมหนึ่งนิยมใช้ชีวิตง่ายๆ ตามวิถีชีวิตแบบคาวบอยยิ่งกว่าประธานาธิบดีที่มีอดีตเป็นชาวไร่ชาวนา อย่างจิมมี่ คาร์เตอร์ (ทำไร่ถั่วลิสง)เสียอีก  ทั้งๆ ที่รายได้ครอบครัวบุชส่วนใหญ่นั้นมาจากอุตสาหกรรมน้ำมัน นี่ยังรวมไปถึงประธานาธิบดี George H. Bush ผู้พ่อด้วยที่ชอบสไตล์คาวบอยเหมือนกัน  ถึงแม้จะมีคนกระแนะกระแหนว่าเป็นการเสแสร้งเพราะหวัง rating ในห้วงที่ความนิยมตกต่ำก็เถอะ แต่จากการกระทำและหลักฐานหลายอย่าง มันทำให้เชื่อว่า บุช ชอบคาวบอยจริงๆ


รูป Bush ขี่ม้าสมัยยังเด็ก

บุชผู้ลูกซื้อ Prairie Chapel ranch พื้นที่ 1,550 เอเคอร์ ราคา 1.3 ล้านดอลลาร์ ที่เมืองเล็กๅ แห่งหนึ่งชื่อ Crawford (ประชากร 701 คน) รัฐเท็กซัสในปี  1999  เจ้าของเดิมเป็นครอบครัวเยอรมันเก่าแก่ ชื่อ Bennie และ Earlene Engelbrecht หลังจากนั้นได้สร้างบ้านสไตล์ไร่ปศุสัตว์ขนาดใหญ่ขึ้น แต่ข้างในตกแต่งอย่างล้ำยุค มีห้องนอน ห้องพักผ่อน ห้องเกมส์ ทันสมัยสุดๆ แถมยังออกแบบเป็นบ้านประหยัดพลังงาน ใช้พลังงานหมุนเวียนและน้ำจากการชะล้างก็นำมาผ่านกระบวนการนำไปใช้รดต้นไม้ ในไร่ได้ต่อไป ปัจจุบันคนอเมริกันเรียกบ้านแห่งนี้ว่า The Western White House เลยทีเดียว มีเว็บไซต์โปรโมตอย่างเป็นทางการไว้ที่ http://www.westernwhitehouse.org/ เมื่อการก่อสร้างปรับปรุงเสร็จในปี 2001 ที่นี่กลายเป็นที่พักผ่อนส่วนตัวของบุช แทนที่จะเป็น Camp David เหมือนประธานาธิบดีอื่นๆ เวลาไปพักผ่อนที่ไร่นี้ บุชจะแต่งตัวแบบคาวบอยสบายๆ เป็นประจำ  แม้กระทั่งรับแขกบ้านแขกเมืองเป็นถึงกษัตริย์แห่งสเปน  ประธานาธิบดีบุชยังแต่งชุดลำลองใส่เข็มขัดคาวบอยหัวเบ้อเริ่มไปต้อนรับแขก เลย
อย่างไรก็ดี ด้วยพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล บุช ได้ให้มีการรักษาสภาพความเป็นไร่ปศุสัตว์ไว้เช่นเดิม โดยให้มีการปลูกข้าวโพด ข้าวสาลีบางส่วน และพื้นที่ที่เป็นทุ่งหญ้าก็ให้มีการเลี้ยงวัวต่อไป โดยให้ลูกชายเจ้าของเดิมเป็นผู้เช่าทำปศสัตว์ต่อไปด้วย  ความชอบคาวบอยของบุชแสดงออกหลายอย่าง แม้แต่ชื่อห้องนอนของเขา ที่ตั้งชื่อว่า "Pecos Bill's Wild West" ห้องนอนรับแขกให้ชื่อว่า "Rough Rider" มีสตูดิโอใต้หลังคา ชื่อว่า "Dale Evans' Texas Twang and Homespun Prarie" (Dale Evans คือชื่อคาวเกิร์ลนักแสดงหนังและโชว์คาวบอยภรรยาของ "Roy Rogers")


บวกกับนิสัยส่วนตัวที่พูดจาโผงผาง ตัดสินใจเด็ดขาดแบบไม่กลัวสายตาชาวโลก อย่างการบุกไปยึดอิรักและจับประธานาธิบดีซัดดัม ทำให้ผู้นำโลกมุสลิมและบางประเทศที่ไม่ใช่มุสลิม วิจารณ์นโยบายของบุชว่าเป็น Cowboy Policy และกระแหนะกระแหนว่าเป็นประธานาธิบดีที่ไม่สมกับตำแหน่ง  น่าจะเป็นคาวบอยมากกว่า   (แต่ก็มีคนชื่นชมบุคลิกและการตัดสินใจของท่านมากจนออกเว็บไซต์มาต่อต้านคำ วิจารณ์ของนานาชาติในเรื่องนี้ http://www.catsprn.com/cowboys.htm/ --My Heroes Have Always Been Cowboys,  http://members.tripod.com/marlenegowen/president.htm/ --My President is a Cowboy)
ภาพล้อเลียนคาวบอยบุช


G. W. Bush ส่งเสริมค่านิยมคาวบอยถึงขนาดยอมลงนามประกาศวันเสาร์ท ี่ 4 ของเดือนกรกฎาคมของทุกปี ให้เป็นวันคาวบอยแห่งชาติอเมริกา (National Day of American Cowboy หรือเรียกสั้นๆ ว่า National Cowboy Day) โดยลงนามตามมติของสภาสูงหมายเลข 138 (Senate Resulution 138) ในเดือนกรกฎาคม 2005 ก่อนวันคาวบอยแห่งชาติครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไม่กี่วัน


นักศึกษาสาวที่วิทยาลัยแห่งหนึ่งใน Crawford ขอถ่ายรูปกับบุชในคราวที่บุชไปเยี่ยมโรงเรียน

บุชเข้าไปคุยกับแชมป์โลก Pro Rodeo เป็นการส่วนตัว ทำให้พวกนักแข่งโรดิโอทั้งหลายปราบปลื้มกันถ้วนหน้า ด้วยเห็นว่าประธานาธิบดีให้เกียรติอาชีพพวกเขาอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ย่านการค้าเมือง Crawford ยังดูเหมือนเมืองคาวบอยยุคก่อน

ศาลากลางจังหวัด Crawford เล็กกว่าที่ทำการ อบต. ในไทยเสียอีก

มา เรื่องหมวกกันดีกว่า หมวกคาวบอยที่ประธานาธิบดีชอบมากและเป็นที่ภาคภูมิใจของวงการคาวบอยทั่ว อเมริกา เป็นหมวกที่สั่งทำพิเศษให้แก่ท่านโดยสมาคมผู้เลี้ยงวัวเนื้อแห่งชาติ (National Cattleman’s Beef Association ถ้าแปลตรงตัวจะแปลว่า สมาคมเนื้อวัวของผู้เลี้ยววัวแห่งชาติ ดูจะไม่เข้าท่า)  โดยสั่งทำจากร้านผลิตหมวกเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมากชื่อ Greeley Hat Works (http://www.greeleyhatworks.com/presidential/index.html) แห่งเมือง Greeley รัฐโคโลราโด ซึ่งตั้งมาตั้งแต่ปี 1909 (อายุน้อยกว่า Stetson ซึ่งตั้งมาตั้งแต่ปี  1865) ร้านนี้ผลิตหมวกตามสั่งเท่านั้น และผลิตทีละใบ ไม่ได้ทำโรงงานใหญ่โตเพื่อผลิตทีละเป็นโหลๆ เหมือน Stetson

เมื่อ บุชได้ใส่หมวกนี้กล่าวสุนทรพจน์ในงานของสมาคมดังกล่าวแล้ว ท่านพอใจมาก จึงสั่งเพิ่มอีก 1 ใบ   ต่อมาทางร้านก็ได้รับใบสั่งหมวกคาวบอยแบบเดียวกันสำหรับอดีตประธานาธิบดี ผู้พ่อคือ G. H. Bush อีก 1 ใบ ทำให้เจ้าของร้านเป็นปลื้มกันจนพูดไม่ออก
ที่เว็บไซต์ของร้านนี้ ได้ลงเรื่องราวการผลิตหมวกของประธานาธิบดีบุชไว้อย่างละเอียดพอควร มีวิดีโอแสดงขั้นตอนการผลิตหมวกด้วยมือให้ดูด้วย ซึ่งน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เห็นว่าการทำหมวกราคาแพงสุดๆ ชนิดที่ Stetson ต้องชิดซ้ายนั้น แม้ดูง่ายๆ แต่ต้องใช้ฝีมือจริงๆ  จึงจะถูกใจลูกค้าได้ เครื่องจักรคงซื้อกันได้ แต่ที่ลอกเลียนกันไม่ได้ก็ตรงฝีมือนี่แหละ
ผู้สาธิตการผลิตหมวกบอกว่าหมวกของท่านประธานาธิบดีค่อนข้างใหญ่ คือเบอร์ 7 1/2 (เบอร์เจ็ดครึ่ง)  หมวกนี้ผลิตจากขนบีเวอร์ร้อยเปอร์เซ็นต์  ซึ่งถ้าหากดูของ Stetson ก็จะเห็นว่าราคาหมวกขนบีเวอร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ที่ผลิตขายทั่วไป เช่น 100X El Presidente นั้นเกือบ  $900 (สงสัยชื่อจะมาจากหมวกประธานาธิบดีบุชนี่แหละ เพราะรูปทรงเหมือนกันเดี๊ยะ) หรือประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท แต่ที่ร้าน Greeley Hat Works นี่ ไม่รู้จะเท่าไรคงสูงกว่านี้ไม่น้อยทีเดียว
หมวกที่ร้านกรีเลย์แฮ ตเวอร์คแห่งนี้ เน้นเรื่องคุณภาพและความเก๋าเป็นจุดขาย   พยายามรักษาวิธีการผลิตแบบโบราณโดยใช้เครื่องมือโบราณไว้มากที่สุด  เขาบอกว่าประเภท Top Of The Line ของเขาเป็นขนบีเวอร์ 100% เ และยังเลือกใช้ขนจากส่วนที่อ่อนนุ่มทนทานที่สุดคือขนหน้าท้องเท่านั้น  ซึ่งคุณภาพของขนบีเวอร์ทั่วไปนั้น จะดีกว่าขนสัตว์อื่นๆ ตรงที่เมื่อนำมาทำหมวกจะทำให้บางและเบากว่าได้ โดยทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศมากกว่า อายุใช้งานนานกว่า ทำความสะอาดง่ายกว่า และรักษารูปทรงได้ดีกว่า (คงเป็นเพราะบีเวอร์เป็นสัตว์ที่คล้ายตัวตุ่นบ้านเรา แต่มันหากินและทำรังด้วยเศษไม้อยู่ตามลำธารในป่า  รังของมันบางทีกั้นลำธารทั้งสายกลายเป็นฝายทดน้ำได้เลย ขนมันจึงแช่น้ำและโคลนแทบจะตลอดเวลา จึงทนทานมาก)
รูปร่างเจ้าบีเวอร์ดูได้ข้างล่างนี้


สำหรับหมวกราคาต่ำลงไปนั้น เขาใช้ขนบีเวอร์ผสมขนกระต่ายพันธุ์ยุโรป ซึ่งเรียกว่า European Hare ไม่ใช่ขนกระต่ายตัวเล็กอย่าง Rabbit เด็ดขาด เพราะขน European Hare จะคุณภาพดีกว่า ทนกว่า ส่วนผสมของขนบีเวอร์กับขนกระต่ายยุโรปนั้น ที่ร้านนี้ใช้มาตรฐาน X ที่เข้าใจง่ายๆ เช่น 20X ก็คือใช้ขนบีเวอร์ 20% ขนกระต่ายยุโรป 80%   ถ้า 100X ก็คือ บีเวอร์ 100% (เข้าใจว่า Stetson ใช้มาตรฐานเดียวกัน เพราะ 100X ของเขาก็คือ 100%  บีเวอร์เหมือนกัน) ที่ร้านนี้เขาว่ามาตรฐาน X นี่ ปัจจุบันมันมั่วกันไปหมด สมัยก่อนยุคปี 1940 หมวก 5X ถือว่าดีแล้ว ราคา $50 หมวก 10X หมายความว่าใช้ขนบีเวอร์  100% ราคา $100 โดยคิดค่า X ละ $5  แต่ปัจจุบันนี้ หมวก 20X ของบางแห่งอาจจะคุณภาพต่ำกว่า 5X ของบางแห่งเสียอีก  และบางแห่งยังมั่วคุณภาพว่า มี 200X ถึง  1000X ด้วย (ผมก็ว่ามั่วจริงๆ งงไปหมด ไม่ยอมมีมาตรฐานกันเสียที)
อย่างไรก็ตาม  มาตรฐาน X นี้ ที่เว็บไซต์ www.canadiancowboy.com หัวข้อ Hat Guide ได้รวบรวมมาตรฐานของผู้ผลิตแห่งหนึ่งเอาไว้ว่าส่วนผสมของขนบีเวอร์กับ กระต่ายนั้นเป็นเท่าใด ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเป็นมาตรฐานของ Stetson เพราะเขาอ้างว่าเป็นที่นิยมที่สุด แต่ไม่ขอยืนยันในข้อนี้  ตารางค่า X และส่วนผสมของขนสัตว์แสดงอยู่ในรูป

บุชใส่หมวกกล่าวปราศรัยท่ามกลางคณะกรรมการสมาคมเลี้ยงวัวเนื้อแห่งชาติ และรูปประตูเข้าร้านกรีเลย์แฮตเวอร์คผู้ผลิต

ขั้นตอนการผลิตหมวกประธานาธิบดีบุช
เจ้าบีเวอร์สต๊าฟ โชว์ตัวในร้านทำหมวก   และภาพที่ผมตัดจากวิดีโอของทางร้านที่แสดงขั้นตอนการทำหมวกของบุช  เพื่อให้เห็นว่าทำด้วยมือแทบทุกขั้นตอน  ซึ่งก็เหมือนกับหมวกของลูกค้าอื่นๆ ที่สั่งทำที่ร้านนี้ แต่คงพิถีพิถันปราณีตกันสุดๆ
เริ่มจากการปรับรูปทรงหมวก จากหมวกขนบีเวอร์ที่ขึ้นรูปคร่าวๆ ไว้ เพื่อให้ขนาดเหมาะกับศรีษะผู้สั่งทำ จะเห็นมีเบ้าไม้ขนาดต่างๆ ซึ่งเมื่อใส่หมวกลงไปแล้ว เขาจะนำไปอบในหม้อไอน้ำก่อน

จากนั้นนำมาดัดปีกหมวดด้วยมือและท่อนไม้โค้งๆ  และนำไปใส่บนแท่นหมุนช้าๆ ใช้กระดาษทรายขัดให้เรียบ

นำไปเข้าเครื่องหมุนช้าๆ อีกแบบหนึ่ง เพื่อรีดตรงส่วน crown หรือส่วนที่ใช้สรวม ทั้งด้านข้างและด้านบนของหมวก

เอาแม่พิมพ์ไม้ด้านในออก นำไปเข้าแม่พิมพ์ปีกหมวก เพื่อรีดด้วยเตารีดธรรมดา จากนั้นนำเข้าเครื่องอัดที่มีลักษณะเหมือนลูกปะคบขนาดยักษ์อัดปีกหมวกโดยมี ผ้าคลุมไว้ก่อนอัดบนแท่นแม่พิมพ์  ขั้นตอนนี้น่าจะนานพอดู  ลูกเหล็กกลมๆ ในรูปสุดท้ายที่เห็นคือส่วนบนของลูกปะคบ เข้าใจว่าน่าจะใช้ความร้อนและไอน้ำอัดลงในลูกปะคบด้วย

จากนั้นนำมาตัดขอบปีกหมวกด้วยมีดกรีดที่มีด้ามไม้ตั้งระยะจาก crown ได้ หมุนมีดกรีดตัดโดยรอบ

ขอบกันเหงื่อด้านในถูกตอกลายด้วยมือ พร้อมชื่อ George W. Bush   จากนั้นก็ทำจีบหมวกด้านบนโดยใช้มือกด

นำไปอบไอน้ำอีกครั้ง เข้าใจว่าการอบทำให้หมวกอยู่ตัว ขณะทำการดัดแต่งรูปทรงให้เข้าที่

ได้หมวกประธานาธิบดีที่ประมาณค่าไม่ได้ดังรูปนี้  และเตรียมใส่กล่องตราประธานาธิบดีเพื่อส่งมอบให้บุช


แล้วก็ไปอยู่บนหัวประธานาธิบดีบุช  ท่านใส่หมวกขณะกล่าวคำปราศรัย ที่น่าสังเกตคือ วิธีจับหมวกเพื่อสวมหรือถอด ท่านที่จีบหมวกด้านบน ซึ่งผู้ผลิตหมวกส่วนใหญ่ไม่แนะนำให้ทำเช่นนี้  แต่เขาแนะให้จับที่ปีกหมวก แสดงว่าไม่ค่อยได้ใส่หมวกเป็นประจำ



รูปล่างสุดนี้คือรูปที่ถ่ายกับเจ้าของร้าน

หลังจากมีร้านทำหมวกดังไปแล้ว ก็มีเจ้าอื่นเอาอย่างบ้าง  อย่างรายนี้ พยายามยัดเยียดหมวกคาวบอยที่ทำด้วยไม้วอลนัทให้ประธานาธิบดี  อยากรู้เหมือนกันว่า หากทำหล่นบนพื้นแรงๆ แล้ว มันจะแตกกระจายหรือไม่



ประธานาธิบดีในมาดคาวบอยในที่ต่างๆ
ที่มา ชีวิตและเพลงคาวบอย
ถ้าสนใจหมวกสานทรงคาวบอยก็ www.siamhat.com

ธรรมะหมวกแดง


สัมภาษณ์ "พระไพศาล วิสาโล" โดย "วิจักขณ์ พานิช"
ธรรมะเป็นสากล เพราะธรรมะคือธรรมชาติ คือความเป็นจริง ทั้งในจิตในใจ และในความเป็นไปภายนอกอันปราศจากการปรุงแต่ง  ธรรมะจึงไม่ได้แบ่งแยกด้วยสีเสื้อ แต่ธรรมะคือเรื่องของใจ ที่พร้อมเปิดกว้างยอมรับสรรพสิ่งตามที่เป็นจริง นั่นคือภาษาของธรรมะ ภาษาของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข
 
ทว่าการสื่อสารธรรมะ หรือการแสดงออกซึ่งความรัก "ของคน" จำเป็นจะต้องมีบริบท นั่นคือการแสดงความรักไม่สามารถแสดงออกอย่างลอยนวลได้ ดังว่า "รักเธอประเทศไทย" "รักคนไทยทุกคน" "รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์" "ฉันรักสรรพสิ่ง" ที่ทุกครั้งที่เราได้ยินได้ฟังการแสดงออกความรักอย่างลอยนวลแบบนั้น ก็มักจะตามมาด้วยคำถามเควชชั่นมาร์คอันใหญ่ๆ ว่า "รักใครนะ?"  หากจะพูดกันอย่างไม่เกรงใจ ผมว่าความรักในแบบนั้นออกจะเป็นไปในลักษณะของการประกาศอัตลักษณ์ของผู้พูดเสียมากกว่า หาได้เป็นการแสดงออกซึ่งความรักความเมตตาใดๆต่อใครที่ไหนไม่ 

เช่นเดียวกับเรื่องของธรรมะ ที่การสื่อสารธรรมะจำเป็นจะต้องเกิดขึ้นด้วยความเข้าถึงบริบท ไม่ใช่เอาแต่พร่ำบ่น สอนสั่งธรรมะกันอย่างเลื่อนลอย โดยไม่ใส่ใจบริบทความทุกข์ความเจ็บปวดของผู้รับสาร ซึ่งธรรมะแบบเหมารวมเช่นนั้นนอกจากจะไม่ได้ช่วยเยียวยาจิตใจของผู้ทนทุกข์แล้ว บ่อยครั้งที่กลับไปซ้ำเติมและเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นคนที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดให้จมดินหายไปไม่มีเหลือ

บทสัมภาษณ์ "ธรรมะหมวกแดง" ชิ้นนี้ ผู้สัมภาษณ์ได้กราบนมัสการพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล สนทนาพูดคุยอย่างเป็นกันเองในประเด็นเรื่องธรรมะ ศาสนา ศีลธรรม สังคม และการเมือง ด้วยเจตนาอย่างเปิดเผยของผู้สัมภาษณ์ที่จะขอสวมหมวกแดงระหว่างการพูดคุยครั้งนี้ เพื่อที่จะเป็นประจักษ์พยานว่า ธรรมะยังเป็นสากล ที่คนทุกคนสามารถสัมผัสความรักความเมตตาจากผู้ประพฤติธรรมได้อย่างไม่มีข้อแม้เงื่อนไข และสามารถน้อมนำไปปฏิบัติจริงได้ในทุกบริบท ทุกกิจกรรม ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะสวมเสื้อสีใด หรือมีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบใดก็ตาม

วิจักขณ์:
ผมได้ฟังบทสัมภาษณ์ของหลวงพี่ รวมถึงพระหลายรูปหรือนักศีลธรรมทั้งหลาย ที่ได้ออกมาเตือนสติประชาชนไม่ให้โกรธเกลียด และลดอคติที่มีต่อกัน รวมถึงการเรียกร้องให้สังคมยุติการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา แต่โดยส่วนตัวก็ยังอยากได้ยินใครสักคนที่กล้าที่จะให้ความเข้าใจหรือแสดงความเห็นใจต่อผู้ชุมนุมที่กลับบ้านไป ผู้บาดเจ็บล้มตาย หรือญาติมิตรของผู้สูญเสีย ไม่อยากให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกลายเป็น "เรื่องอัปมงคล" ที่ไม่มีใครอยากพูดถึงกันอีกในรายละเอียด จากนั้นก็กลบเกลื่อนด้วยแคมเปญ "คนไทยรักกันเหมือนเดิม" ซึ่งตัวผมเองคิดว่ามันจะยิ่งทำให้ความแตกร้าวนี้ฝังรากลึกลงไปในหัวใจคนไทยยิ่งกว่าเดิม

หากมีผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ต่อสู้ทางการเมืองเพื่ออยากเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในสังคม ที่ตอนนี้รู้สึกเจ็บปวดกับท่าทีของรัฐบาล และกับเหตุการณ์การสลายการชุมนุมที่เกิดขึ้น และยังทำใจไม่ได้ ยังโกรธ ยังฝังใจ ยังรู้สึกว่าตนเป็นผู้ถูกกระทำ หากมีคนเหล่านั้นเข้ามากราบหลวงพี่ หลวงพี่จะพูดกับเขาว่าอย่างไรครับ

พระไพศาล
ต้องให้ความหวังแก่เขา อย่างน้อยก็อยากให้เขายอมรับว่า นั่นเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม คือ เราต้องผ่านความไม่สมหวัง ผ่านความล้มเหลวอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม

วิจักขณ์
คือให้ยอมรับความล้มเหลวเหรอครับ?

พระไพศาล
ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและการทำงาน  เราไม่สามารถปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้ อย่างไรก็ดีการทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมมีหลักอยู่ข้อหนึ่งคือ มันเป็นเรื่องของการสะสมชัยชนะและสรุปบทเรียนไม่หยุดหย่อน  ถ้าเราเจ็บปวด แต่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวบทเรียนที่เกิดขึ้น เราก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย  อย่างเหตุการณ์ครั้งนี้ โอกาสที่จะไม่สูญเสียมันก็มีอยู่ แต่ทุกฝ่ายก็ปล่อยให้โอกาสนั้นผ่านเลยไป  จึงเป็นบทเรียนให้แก่เราว่าความผิดพลาดอยู่ที่ตรงไหน เหมือนกับคนที่ผ่านเหตุการณ์ ๖ ตุลามา ก็ต้องสรุปบทเรียนว่ามีความผิดพลาดตรงไหน ความสูญเสียเกิดจากอะไร ซึ่งหลายคนก็สรุปได้ อย่างสมศักดิ์ (เจียมธีรสกุล) เขาเตือนแล้วเตือนอีกว่ามันไม่คุ้มนะถ้าจะชุมนุมต่อในสถานการณ์ที่ล่อแหลม  แกนนำนปช.ควรจะหาทางลง รักษามวลชนไว้ก่อน คือ กระบวนการเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องมี ไม่เช่นนั้นหากเราจมอยู่แต่ในความเจ็บปวด เราก็มีแนวโน้มที่จะเพ่งโทษคนอื่น กล่าวหาคนอื่น จริงอยู่คนอื่นมีส่วนทำให้เราเจ็บปวด แต่ความผิดพลาดส่วนหนึ่งอาจเกิดจากเราด้วย  ถ้าเราไม่เรียนรู้อะไรเลย ก็จะเสียโอกาสไป

วิจักขณ์:
ก็คือ ใช้โอกาสนี้ในการทบทวน สรุปบทเรียน เพื่อปรับอะไรหลายๆ อย่าง และพัฒนาศักยภาพของตัวเองขึ้นไปด้วย

พระไพศาล:
ใช่  อาตมาก็พยายามบอกหลายๆ คนนะ ว่าถ้ามองในแง่ประวัติศาสตร์ มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องท้อแท้ เพราะประวัติศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นว่า ไม่มีสังคมไหนที่ตกต่ำดำมืดไปตลอด จะเลวร้ายอย่างไรในที่สุดก็จะฟื้นขึ้นมาใหม่  สังคมที่เจริญก้าวหน้าและมีเสถียรภาพอย่างยุโรปก็ผ่านการนองเลือดมาไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน  ที่จริงเราน่าจะเรียนรู้จากเขาโดยไม่ต้องเกิดความสูญเสียก็ได้ แต่ว่าคนเราก็มักไม่เปิดใจเรียนรู้จากผู้อื่น  ก็เลยต้องเรียนรู้จากความเจ็บปวดของตัวเอง

วิจักขณ์
ในมุมมองของคนที่ต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง เมื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันเป็นโครงสร้างที่ใหญ่ และยึดโยงกันแน่นมาก แม้ภายนอกอาจจะดูดี มีหลักการ หรือมีศีลธรรมอะไรก็ตาม แต่มันได้กลายเป็นโครงสร้างทางสังคมที่แข็งตัวมาก เต็มไปด้วยอำนาจ ความเหลื่อมล้ำ และความรุนแรง ไม่รับฟังอะไรเลย ไม่ยอมรับความแตกต่างอะไรเลย ไม่เปิดกว้างต่อการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เมื่อโครงสร้างทางสังคมมันปิดขนาดนี้ ไม่รู้สึกรู้สากันได้ขนาดนี้ ในมุมมองของคนที่ต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง มันจะหลีกเลี่ยงความรุนแรงได้จริงหรือครับ

พระไพศาล:
สังคมไทยก็ไม่ใช่ว่าจะเป็น monolithic ขนาดนั้นนะ มันไม่ใช่ว่าจะเป็นเนื้อเดียวกันหมด หรือดื้อรั้นไปเสียทั้งหมด  ไม่ใช่... สังคมไทยมีความหลากหลายอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน บางจุดมันก็แข็ง บางจุดมันก็อ่อน ซึ่งเราก็ต้องเข้าใจจุดที่มันอ่อนด้วย อันนี้เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์ยุทธวิธี  คือเวลานี้เราไปมองอะไรเป็นดุ้น เป็นก้อนไปหมด พวกเสื้อเหลืองก็มองพวกเสื้อแดงเป็นก้อนหรือเป็นเนื้อเดียวกัน พวกเสื้อแดงก็มองเสื้อเหลืองเป็นก้อนหรือเป็นเนื้อเดียวกัน แต่แท้จริงแล้วมันมีความหลากหลายอยู่ในนั้นมาก พวกล้มเจ้าหรือพวกสุดโต่งมีแค่นิดเดียว แต่ถ้าเรามองแบบเหมารวม เราจะไม่สามารถมองเห็นความจริงที่หลากหลายได้  ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ แล้วสามารถมองเห็นได้ว่าสังคมไทยไม่ได้เป็นก้อนเดียวกัน เราก็จะเห็นว่ามันมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนที่เราสามารถเข้าไปได้ เราจะมองเห็นธรรมชาติของโครงสร้างสังคมทั้งหมดแบบมีชีวิตมีพลวัต ไม่ได้มองเป็นก้อนที่แข็งทื่อตายตัว   แล้วในที่สุดเราก็จะพบจุดคานดีด คานงัด แต่ตอนนี้เราก็ยังคลำหากันไม่เจอ หรือถ้าหาเจอ เราก็ยังไม่สามารถสร้างความเห็นพ้องต้องกันได้มากพอเพื่อร่วมกันผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้

วิจักขณ์
ตอนนี้ทุกคนในสังคมมีความทุกข์มาก หลายคนหันมาหาธรรมะ แต่ธรรมะที่พูดๆ กันตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ศีลธรรม ความรัก ความไม่เห็นแก่ตัว ความสงบ ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง มันได้กลายเป็นวาทกรรมที่เอาไว้ปราบปรามผู้ที่เรียกร้องความเปลี่ยนแปลงหมดเลย คล้ายๆ จะบอกให้หุบปาก กลับบ้านไป..อะไรทำนองนั้น  ผมว่าผู้ชุมนุมที่กลับบ้านไปตอนนี้ก็เจ็บปวดไม่น้อยเลยนะ ก็คงอยากได้ธรรมะมาชโลมใจเช่นกัน แต่ถ้าธรรมะมันแอบซ่อนวาทกรรมพวกนั้น ผมว่าเขาก็คงเลือกไม่มีธรรมะเสียดีกว่า แต่ในโอกาสนี้ก็อยากให้หลวงพี่ได้ให้ธรรมะเตือนใจกับพี่น้องเสื้อแดงที่รู้สึกเจ็บปวด และอยู่ในภาวะน้อยเนื้อต่ำใจในตอนนี้สักเล็กน้อย

หลวงพี่ไพศาล
ที่พูดนี้ไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือเปล่า เพราะรู้ว่ามันยาก  แต่ก็อยากจะให้เรายอมรับความจริง มีสติ และมองไปข้างหน้า อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ แต่มันยาก เพราะเวลาคนเราเจ็บปวด มีความทุกข์ ยังปล่อยให้อดีตทิ่มแทง ยังวางมันไม่ได้ ก็คงจะมีสติได้ยาก

วิจักขณ์:
แต่สติไม่ได้หมายความว่าลืม?

หลวงพี่ไพศาล:
ไม่ (ตอบเร็ว) ... อาตมาพยายามบอกใครต่อใครว่า ความทรงจำบางครั้งมันมีพิษ มันมีหนามแหลม แต่ถ้าเรารู้จักถอนพิษออกจากความทรงจำ เราก็สามารถระลึกถึงอดีตได้โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดอีก จำเหตุการณ์นั้นได้ว่าเป็นอย่างไร แต่ไม่ทุกข์ เพราะสามารถจะถอนพิษได้แล้ว

จะว่าไปแล้ว ความทรงจำหรือประสบการณ์เลวร้ายในอดีตก็เหมือนทุเรียน คือมีหนามแหลม แต่ถ้าเรารู้จักปอกเปลือกที่มีหนามแหลมออก ก็จะเหลือเนื้อทุเรียนซึ่งกินได้ และอร่อยด้วย คนส่วนใหญ่ครุ่นคิดจ่อมจมกับเหตุการณ์ในอดีตจึงเจ็บปวดเหมือนกอดทุเรียนเอาไว้ หนามแหลมมันจึงทิ่มแทงเอา  แต่คนที่ฉลาดคือคนที่รู้จักปอกเปลือกออก ทำให้ความทรงจำนั้นไม่สามารถทิ่มแทงจิตใจได้อีกต่อไป เราทุกคนสามารถทำให้เหตุการณ์ในอดีตไม่มีพิษสงอีกต่อไป  แล้วยังสามารถสรุปบทเรียน เก็บเกี่ยวบทเรียนจากเหตุการณ์นั้นๆ ได้ด้วย  ทำให้เกิดปัญญามากขึ้น  สิ่งที่ท้าทายก็คือ ทำอย่างไรเราจึงถอนพิษความทรงจำ หรือปอกเปลือกที่มีหนามแหลมออกไป คนส่วนใหญ่ถ้าไม่กอดมันไว้แน่น ก็เลือกที่จะทิ้งมันไป คือลืมมันไปซะเลย

วิจักขณ์
คือ ธรรมะก็ยังเป็นเรื่องของการเผชิญความจริงอยู่ดี...

พระไพศาล
ใช่ ...สติจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก สติในที่นี้ คือการยอมรับปัจจุบันหรือยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ถ้าเรายังเราทุกข์ ยังเจ็บแค้นโกรธเกลียดกับสิ่งที่เกิดขึ้น  นั่นแสดงว่าเรายังยอมรับความจริงไม่ได้ ถ้าเรามีสติ และยอมรับความจริงได้ เราก็หลุดจากอดีตแล้วสามารถเดินหน้าต่อไปได้

วิจักขณ์
แบบนี้ก็ได้ยินบ่อยๆ นะหลวงพี่ คนในโครงสร้างสังคมเดิม ชนชั้นกลาง ที่มองไม่เห็นว่ามีอะไรต้องเปลี่ยน ก็จะใช้คำพูดแบบนี้แหละว่า ให้ยอมรับความจริง ความจริงมันก็เป็นแบบนี้ ยอมรับความจริงซะ ก็จะได้ไม่ทุกข์ มาเรียกร้องอะไรกัน ก่อกวนความสงบ เสียเวลาทำมาหากิน

พระไพศาล:
ยอมรับระบบที่เป็นอยู่น่ะเหรอ...

วิจักขณ์
(หัวเราะ) ประมาณว่าเราอยู่ในประเทศนี้ ในระบบนี้ มันเป็นแบบนี้ ก็ทำใจยอมรับ มองให้เห็นข้อดีของมัน ก็จะอยู่ได้ไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไร

พระไพศาล:  
ยอมรับไม่ได้แปลว่ายอมจำนนนะ เหมือนเรายอมรับความจริงว่าเราเป็นมะเร็ง โอเค เรายอมรับ เราไม่ตีโพยตีพาย แต่เราก็ต้องรักษาจริงมั้ย   แต่ถ้าไม่ยอมรับความจริงเราก็จะทุกข์ใจมากเลย  เรายอมรับความจริงว่าเราเป็นมะเร็ง  แต่เราไม่ยอมจำนน ก็ต้องมาดูว่าจะรักษายังไง  เราต้องแยกระหว่างยอมรับกับยอมจำนน โอเค ถ้าเรารักษาไม่หาย ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเรายังไม่ได้พยายามเลย เพราะมัวแต่ตีอกชกหัวตัวเองว่าทำไมถึงต้องเป็นฉัน อย่างนี้เรียกว่ายอมจำนน ยังยอมรับความจริงไม่ได้

ตัวอาตมาเองก้าวข้ามความเจ็บปวดจากเหตุการณ์ ๖ ตุลาได้ก็เพราะว่า มองเห็นว่าศัตรูของเราไม่ใช่คน แต่ศัตรูของเราเป็นความโกรธ ความเกลียด และโครงสร้างสังคมที่เป็นรูปธรรมหรือก่อรูปมาจากความโกรธ ความเกลียด ความโลภ และความหลง  กิเลสเหล่านี้มันอยู่ในใจคน และอยู่ในตัวโครงสร้างสังคมด้วย การมองเห็นเช่นนั้นทำให้เราหันมาจัดการกับความโกรธเกลียดในใจคน และในโครงสร้าง ซึ่งมันทำให้เรามีพลัง พลังของเราจะไม่หมดไปกับการสู้รบปรบมือหรือทำลายล้างผู้คน ซึ่งมันเหนื่อยมาก แต่ละวันหมดพลังไปกับความโกรธเกลียด ตอน ๖ ตุลาอาตมาข้ามเหตุการณ์นี้มาได้เพราะเห็นเลยว่า คนที่เตะถีบเรา เขาทำอย่างนั้นได้ก็เพราะความโกรธ ความเกลียด  ความโกรธเกลียดมันทำให้คนกลายเป็นสัตว์  อาตมาจึงไม่โกรธคนที่ทำกับอาตมา แต่อาตมาตั้งปณิธานตั้งแต่ตอนนั้นเลยว่าจะต้องต่อสู้กับความโกรธ ความเกลียด ทีนี้เมื่อเราจะต่อสู้กับความโกรธเกลียด ทางเดียวก็คือต้องใช้ความรักความเมตตาเข้าสู้

วิจักขณ์
แต่ตอนนี้ดูเหมือนพอตัวโครงสร้างความอยุติธรรมตรงหน้ามันยิ่งควบคุม ยิ่งปิดกั้น ยิ่งให้ความรุนแรงแฝง ลิดรอนสิทธิเสรีภาพอะไรมากขึ้น ถึงจุดนึงคนที่ต่อสู้เพื่อความเปลี่ยนแปลงก็มองว่า ทางเดียวที่จะทำให้โครงสร้างนั้นเปลี่ยนได้ ก็คือ ความทุกข์  

พระไพศาล
ความทุกข์เป็นตัวขับเคลื่อนได้ก็จริง  แต่ทำไมเราจะต้องใช้อารมณ์เป็นตัวขับเคลื่อน ทำไมเราต้องใช้ความโกรธเป็นตัวขับเคลื่อนหรือเป็นตัวกระตุ้นด้วย ทำไมเราจึงไม่สามารถทำอะไรโดยไม่ต้องใช้ความโกรธเกลียดเป็นตัวผลักดัน  ทำไมเราไม่มองว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข และทำไปด้วยสติปัญญา การต่อสู้ด้วยความโกรธเกลียดนั้น มันบั่นทอนจิตใจมาก 

วิจักขณ์:
แต่แม้ว่าเราจะทำไป ไม่ใช่ด้วยความโกรธเกลียดก็ตาม มันก็อาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นชนวนของความทุกข์ให้เกิดขึ้นกับโครงสร้างนั้นอยู่ดี  ก็อาจทำให้คนในสังคม...

พระไพศาล
ไม่พอใจ

วิจักขณ์
ครับ

พระไพศาล:
ก็ธรรมดา  คือเค้าไม่พอใจ ก็เพราะเค้ายังยึดติด เพราะเค้ายังมีความโลภ ยังมีความหลงอยู่ เราก็ต้องพยายามที่จะแก้ตรงนั้น พุทธศาสนาพูดเรื่องนี้ไว้ชัดว่า เราต้องเอาชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ เราต้องเอาชนะความชั่วด้วยความดี  มีเหตุการณ์มากมายในประวัติศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นว่าวิธีนี้มันเวิร์ค คนเราไม่ใช่ว่าจะเลวร้ายไปหมด อย่างการเคลื่อนไหวต่อสู้ในอินเดีย ของคนผิวดำในอเมริกา  ผู้นำของขบวนการเหล่านั้นพยายามใช้สิ่งนี้เข้าไปเปลี่ยนใจคน เอาชนะใจคนได้ในที่สุด

อาตมายังมองไม่เห็นเลยว่าการใช้ความรุนแรงมันจะเปลี่ยนโครงสร้างได้ยังไง มันทำได้แค่กำจัดคนกลุ่มหนึ่งออกไป  เราก็เห็นอยู่แล้วว่าพอปฏิวัติด้วยความรุนแรงแล้วมันก็ล้มเหลว ในที่สุด เช่น  ในรัสเซีย  ในจีนเราต้องรู้จักที่จะเรียนรู้จากสังคมอื่นด้วย ศึกษาจากประวัติศาสตร์ จะได้เกิดความเข้าใจที่กว้างขวาง และเกิดความหวัง

วิจักขณ์
เรื่องการยึดติด เรื่องอวิชชา เรื่องความโลภโกรธหลง คนก็เอามาพูดกันมาก แนะนำกันมาก กลายเป็นเครื่องมือของการจับผิดอีกฝ่าย และสร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายตัวเอง  ธรรมะหรือศีลธรรมได้กลายเป็นอาวุธของคนที่อยู่ในโครงสร้างสังคมแบบอำนาจนิยม อนุรักษ์นิยม จารีตนิยม ในการรักษา "ความสงบ" หรือ "ความปกติ" ใน "ความจริง" ที่เขาได้สร้างขึ้นมาให้คนส่วนใหญ่ยอมรับ แวดวงธรรมะ ศาสนาก็ถูกเสียดสีตรงนี้ค่อนข้างมาก หลวงพี่คิดยังไงครับ

พระไพศาล:
(ตอบเร็ว) ก็จริง คนส่วนใหญ่ที่ยึดติดในศีลธรรม มักจะมองปัญหาในเชิงบุคคล คือมองว่าปัญหาทั้งหมดเกิดขึ้นก็เพราะคนชั่ว เพราะทักษิณเป็นคนไม่ดี คนเหล่านี้ไม่สามารถมองทะลุไปถึงเรื่องโครงสร้างได้ เพราะกรอบคิดทางศีลธรรมของคนในปัจจุบันมักทำให้เข้าใจไปว่าปัญหาเกิดจากความไม่มีศีลธรรมในระดับบุคคล

วิจักขณ์:
...ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่

พระไพศาล:
..มันมีเรื่องโครงสร้างสังคมด้วย   แต่พอไม่มองเรื่องโครงสร้าง ก็ไม่แก้ปัญหาที่ตัวโครงสร้าง เลยคิดแต่จะไล่ล่ากำจัดตัวบุคคล เช่น คิดว่าถ้ากำจัดทักษิณได้ จับผู้ก่อการร้ายได้ ความวุ่นวายทั้งปวงก็จะหมดไป บ้านเมืองจะสงบสุขเหมือนเดิม  ทัศนคติแบบศีลธรรมที่เราเข้าใจกันในตอนนี้ มันคับแคบ เพราะศีลธรรมที่สอนๆ กันเน้นศีลธรรมระดับปัจเจก เช่น สอนกันว่าสังคมไม่ดีเพราะมีคนเลว หรือว่าถ้าเราทำตัวให้ดีแล้วสังคมจะดี  นี่คือการมองศีลธรรมในระดับปัจเจก  แต่พุทธศาสนาไม่ได้มีแค่นี้ มีมากกว่านี้ เช่นการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมทางสังคม  ที่อาตมาเขียนหนังสือเรื่อง "พุทธศาสนาไทยในอนาคต" ก็พยายามเสนอว่าเราต้องฟื้นฟูมิติทางสังคมของพุทธศาสนาขึ้นมา เพราะพุทธศาสนาตอนนี้ได้ถูกตีความให้เป็นเรื่องของปัจเจก ศีลธรรมถูกเน้นให้เป็นเรื่องของบุคคล  เราก็เลยมองอะไรแคบๆ

วิจักขณ์
แล้วในทัศนะของหลวงพี่ จริงๆ แล้วไอ้ศีลธรรมที่มันก่อให้เกิดสันติสุขจริงๆ เนี่ย มันคืออะไรครับ

พระไพศาล
อย่างที่พูดไปเมื่อตะกี๊ว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันไม่ได้อยู่ในใจคนอย่างเดียว แต่มันได้ก่อรูปขึ้นเป็นโครงสร้างสังคมหรือระบบเศรษฐกิจการเมืองขึ้นมา  โครงสร้างสังคมมันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เป็นความสัมพันธ์ที่เอารัดเอาเปรียบกัน ไม่มีน้ำใจต่อกัน โครงสร้างนี้กระตุ้นให้ความโกรธ ความโลภ ความหลง เกิดขึ้นในใจคนได้ง่ายมาก   ขอยกตัวอย่างที่เห็นชัด เช่นเวลาเราขับรถในกรุงเทพฯ คนอารมณ์ดีแค่ไหนถ้าขับรถในกรุงเทพฯ ก็ต้องเครียด เพราะ ระบบการจราจรในกรุงเทพฯ ซึ่งรวมถึงกฎระเบียบ ตำรวจ ถนน ฯลฯ มันทำให้คนเห็นแก่ตัว ทำให้คนไม่มีน้ำใจ คุณจะเป็นคนดีมาแค่ไหน พอคุณมาขับรถในกรุงเทพฯ ซักพัก คุณก็อารมณ์เสียหงุดหงิด  คุณก็ไม่มีน้ำใจแล้ว นี่เห็นมั้ย มันเป็นระบบน่ะ มันเป็นระบบที่หล่อหลอม กระตุ้นความเห็นแก่ตัว กระตุ้นเอาความรู้สึกฝ่ายลบออกมา ถ้าเรามองให้เห็นตรงนี้ มองให้กว้าง มองให้ทะลุ เราก็จะเห็นความสำคัญของการสร้างระบบหรือโครงสร้างใหม่ที่สามารถดึงเอาพลังฝ่ายบวกของคนออกมา ทำให้เกิดเมตตากรุณาก็ได้ ทำให้เกิดสติก็ได้

ดังนั้นหากจะคุยเรื่องศีลธรรม  เราต้องมองด้วยว่า สังคมเลวไม่ใช่เพราะคนไม่ดีอย่างเดียว  การที่คนไม่ดีก็เพราะสังคมไม่ดีด้วย เพราะฉะนั้นถ้าต้องการฟื้นฟูศีลธรรมของผู้คนในสังคม ก็ต้องฟื้นฟูสังคมให้มีศีลธรรมด้วย ต้องมีระบบที่เกื้อกูลต่อศีลธรรม พูดง่ายๆ  สังคมไทยตอนนี้เป็นปฏิปักษ์ต่อความดี  แต่คนที่เคร่งศีลธรรมมองไม่เห็น  เอาแต่มองศีลธรรมแค่ระดับบุคคล ไม่ได้มองว่าสังคมตอนนี้มันเป็นปฏิปักษ์ต่อความดี

วิจักขณ์:
และความจริง

พระไพศาล:
อือ ใช่ (ยิ้ม) ถ้าไม่จัดการหรือมองไม่เห็นถึงปัญหาศีลธรรมในเชิงโครงสร้างทางสังคม จะไปพูดเรื่องศีลธรรมยังไง จิตใจคนก็จะมีแต่ถดถอยลงไปเรื่อยๆ

วิจักขณ์
แล้วหลวงพี่คิดยังไงกับกระแสการปฏิบัติธรรม หรือความสนใจธรรมะของคนในตอนนี้

พระไพศาล
คนที่สนใจปฏิบัติธรรมมักเป็นคนที่มีปัญหามากมาย หลายคนมาปฏิบัติธรรมไม่ได้เพื่อลดความเห็นแก่ตัว จึงกลายเป็นคนที่คิดถึงแต่ตัวเอง  ขณะเดียวกันเนื่องจากต้องการความสงบเย็น ก็เลยกลายเป็นพวกหนีปัญหา และเพ่งโทษคนอื่นมาก คือโทษว่าคนอื่นทำให้ฉันทุกข์   และพอปฏิบัติธรรมมาก ๆ ก็เกิดความหลงตัวลืมตนว่าฉันดีกว่าคนอื่น  จึงตำหนิหรือมองคนในแง่ลบได้ง่าย  ใครที่ไม่เห็นด้วยกับตัว ก็โต้ตอบถกเถียงอย่างใช้อารมณ์ ไม่เว้นแม้แต่แวดวงกรรมฐาน  กลายเป็นว่าการปฏิบัติธรรม หรือความเป็นพุทธไม่ได้ช่วยอะไรเลย ยังน่าเกลียด ยังรุนแรง นั่นแสดงว่ามีปัญหาบางอย่างกับการปฏิบัติธรรมด้วย

วิจักขณ์
อยากจะขอวกกลับมาที่อาจารย์พูดว่าธรรมะหรือศีลธรรมแบบไทยมุ่งเน้นไปที่ปัจเจกหรือตัวบุคคล แต่มักละเลยการมองในมิติทางสังคม ก็เลยมองไม่ทะลุ หรือมองไม่เห็นโครงสร้างที่เป็นตัวแทนของความโลภ โกรธ หลง ความเหลื่อมล้ำและความอยุติธรรมที่มีอยู่  เลยกลายเป็นว่าธรรมะ ศีลธรรม หรือการปฏิบัติธรรมได้ไปช่วยเสริมให้โครงสร้างความรุนแรงเหล่านั้นมีอำนาจมากขึ้น หรือมีความมั่นคงมากขึ้น

พระไพศาล:
ลักษณะหนึ่งของวงการธรรมะของไทยคือค่อนข้าง conservative (อนุรักษ์นิยม)   เพราะฉะนั้นจึงมักจะอิงกับโครงสร้างอำนาจนิยม หรือสถาบันแบบดั้งเดิม  เช่น สถาบันสงฆ์ สถาบันทหาร สถาบันพระมหากษัตริย์  คนกลุ่มนี้โดยธรรมชาติจะconservative ก็เลยมักรับรองหรือเห็นด้วยกับ status quo (สถานภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน)  อันนี้เป็นเรื่องของการศึกษาด้วย

วิจักขณ์:
แล้วหลวงพี่อยากจะฝากอะไรกับวงการปฏิบัติธรรมบ้าง

พระไพศาล:
อย่างแรกก็คือต้องมีความเมตตากรุณา  ไม่มองคนเป็นฝักฝ่าย ไม่ถือเขาถือเรา  มีขันติธรรม แม้ใครจะคิดต่างจากเรา ก็ยอมรับได้ ไม่เห็นเขาเป็นศัตรู  เห็นว่าเขาเป็นมนุษย์เหมือนเรา  ขณะเดียวกันก็อยากให้มองกว้างด้วย คือมองศีลธรรมโยงกับโครงสร้างสังคมด้วย  ความไม่มีศีลธรรมของคนไม่ได้เกิดจากกิเลสในตัวบุคคลอย่างเดียว แต่มันถูกปลุกหรือส่งเสริมโดยระบบต่าง ๆ ที่แวดล้อมเขา หรือโครงสร้างทางสังคมที่เป็นปฏิปักษ์กับความดีด้วย

วิจักขณ์:
แล้วประเด็นเรื่องความกล้าหาญล่ะครับหลวงพี่ ดูเหมือนวงการนี้จะเงียบเชียบเหลือเกิน ไม่มีความกล้าหาญใดๆ ที่จะพูดความจริง เพราะไม่อยากให้เกิดความขัดแย้ง ไม่อยากทำให้ใครไม่พอใจ

พระไพศาล:
อย่างที่บอกแล้วชาวพุทธเราส่วนใหญ่เป็นพวกที่ต้องการหนีปัญหา ต้องการความสงบส่วนตัว เพราะฉะนั้นจึงไม่ค่อยมีความกล้าที่จะเผชิญปัญหาอยู่แล้ว   เราหนีปัญหาก็เพราะเรากลัวเผชิญหน้ากับปัญหา  ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว อย่างกรณีธรรมกายที่เป็นการทำพระธรรมวินัยให้วิปริต ชาวพุทธเป็นอันมากก็ไม่สนใจที่จะแก้ปัญหานี้  พอเห็นปัญหาก็หลบๆ กัน แม้กระทั่งช่วงเกิดความวุ่นวายที่ผ่านมา พระหลายรูปก็หลบ ไม่กล้าแสดงความเห็นเพราะกลัวถูกวิพากษ์วิจารณ์   ถ้าดังหน่อยมีคนมาขอสัมภาษณ์ก็ไม่เอา กลัวเสื้อแดงเล่นงาน ชาวพุทธเราส่วนใหญ่ค่อนข้างจะแหย  เนื่องจากไม่ได้ปฏิบัติธรรมเพื่อต้องการลดความเห็นแก่ตัว แต่ต้องการความสงบหรืออยากได้บุญมากกว่า  

วิจักขณ์:
งั้นหลวงพี่ก็มองว่า ถ้าปฏิบัติธรรมจริงๆ ก็ต้องมีความ...

พระไพศาล:
(ทันควันไม่รอให้พูดจบ) ...ต้องกล้า (เน้นเสียง)  ต้องสู้กับอัตตา ต้องกล้าเผชิญกับทุกข์ กับความยากลำบาก ถ้าต้องการลดความเห็นแก่ตัว ต้องการลดละอัตตา ก็จะกล้าเผชิญหน้ากับความทุกข์ ไม่กลัวคำวิพากษ์วิจารณ์ ไม่กลัวเปลืองตัว เพราะตัวตนสึกหรอเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น

วิจักขณ์
และกับสังคม...

พระไพศาล:
เรื่องสังคมก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน บางคนก็ไม่มีมิติทางสังคม แต่อย่างน้อยก็ต้องยืนหยัดในความถูกต้อง อะไรไม่ถูกก็ต้องกล้า ต้องสู้ แต่ถ้ามีความโน้มเอียงที่จะหนีปัญหาอยู่แล้ว ก็จะพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่สนใจปัญหาบ้านเมือง และพยายามไม่ขัดแย้งกับผู้คน ไม่อยากจะช่วย ไม่อยากทำอะไรให้ตัวเองเดือดร้อน วุ่นวาย  ความเป็น conservative ของชาวพุทธ ก็ยิ่งไปส่งเสริมความคิดแบบนี้ด้วย

หมายเหตุ

สัมภาษณ์เย็นวันที่ ๓๐ พ.ค. ๕๓ ณ แสนปาล์มเทรนนิ่งโฮม จ.นครปฐม ระหว่างการอบรมเผชิญความตายอย่างสงบ
 
เกี่ยวกับผู้สัมภาษณ์

"วิจักขณ์ พานิช" เป็นนักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ศาสนา วิทยากรของเสมสิกขาลัย ปัจจุบันทำงานเขียน งานแปล และงานอบรมภาวนา จิตวิญญาณการศึกษา จิตวิทยาแนวพุทธ และพุทธศาสนาเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม ให้กับประชาชนทั่วไป องค์กรพัฒนาเอกชน โรงพยาบาล และสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ 

ถ้าสนใจหมวกสานก็ www.siamhat.com